ตั้งแต่ปี 1968 คอลเลคชันเครื่องประดับ “Van Cleef & Arpels Alhambra” ได้มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องไปตามยุคสมัย กระนั้น ในขณะเดียวกัน ความงามสง่าทางรูปลักษณ์ของการเป็นเครื่องประดับนำโชค ก็ยังดำรงอยู่อย่างชัดเจน และในปีนี้ นับเป็นครั้งแรกที่คอลเลคชั่นผลงานอันทรงแบบฉบับเฉพาะตัว ได้เพิ่มเติมลูกเล่นทางการออกแบบใหม่ นั่นก็คือจี้สร้อยคอซ่อนเวลาหรือ secret pendant watch สี่สไตล์ เพื่อเป็นการยกย่องสุนทรียศิลป์ ในการบอกเวลาผ่านนาฬิกาพก ซึ่งซ่อนอยู่ภายในตัวเรือนจี้สร้อยคอร้อยสายโซ่เส้นยาว พร้อมกันนั้นยังมีนาฬิกาข้อมือ Sweet Alhambra อีกสองรุ่น จุดประกายปรารถนาด้วยงานประดับรัตนชาติ ท่ามกลางวงล้อมของลูกปัดทองคำสีเหลืองสุกสกาวเงางาม
ทุกโมงยามล้วนเลอค่า
เครื่องประดับสมาชิกใหม่ทั้งสี่ของ Alhambra collection ถือเป็นครั้งแรกที่อาศัยลูกเล่น “ซ่อนเวลา” เร้นตัวอยู่ภายใต้แผ่นโมทิฟรูปทรงเอกลักษณ์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากใบโคลเวอร์สี่แฉกจากธรรมเนียมนิยมอันมีต่อนาฬิกาพกร้อยสายโซ่ในยุโรประหว่างศตวรรษที่ 17 มาสู่เครื่องประดับจี้สร้อยคอซ่อนนาฬิกาที่พร้อมบอกเวลาได้ในทุกยามปรารถนาของผู้สวมใส่
บทบรรจบระหว่างความงามสง่าทางรูปทรงเครื่องประดับ อันถือเป็นหนึ่งในสไตล์แบบฉบับประจำเมซง กับธรรมเนียมนิยมในการซ่อนนาฬิกาพก นำมาสู่จี้สร้อยคอที่รอให้ดันนิ้วเคลื่อนแผ่นโมทิฟซ่อนหน้าปัด ซึ่งใช้กลไกเดือยหมุนเป็นตัวยึดเท่านั้น ผู้เป็นเจ้าของก็สามารถดูเวลาได้ตามต้องการ
เพื่อสืบทอดธรรมเนียมสุนทรียศิลป์ทางการออกแบบ อันสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้แก่ Alhambra collection เครื่องประดับแต่ละชิ้นล้วนอาศัยงานประดับตกแต่งด้วยบรรดาวัสดุเลอค่า สองรุ่นเผยประกายสว่างเรืองรองสะกดสายตาจากลีลาสะท้อนแสง บนแผ่นทองสลักลายแถบรัศมีดวงตะวัน “กวิโญเช” (guilloché) หนึ่งในนั้นใช้แผ่นโมทิฟ ทองคำสีกุหลาบสลักลายจำลองแถบรัศมีดวงตะวัน เป็นกลไกแอบซ่อนหน้าปัดนาฬิกาที่ทำจากแผ่นแม่มุก (mother-of-pearl) สีขาว
ส่วนอีกหนึ่งคือหน้าปัดทองคำสีเหลืองสลักลายแถบรัศมีกวิโญเช (guilloché) ซ่อนเร้นตัวอยู่ภายใต้แผ่นโมทิฟทองคำฝังเพชรทั่วชิ้นงาน ก่อประกายระยิบระยับวับวาว สำหรับงานออกแบบรุ่นที่สาม คือความกลมกลืนทางสีสันอันอบอุ่นของแผ่นโมทิฟทองคำสีกุหลาบ ฝังหินโมราสีเพลิงหรือคาร์นาเลียน ซึ่งเมื่อใช้นิ้วดันก็จะเคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง เผยให้เห็นหน้าปัดแม่มุกขาวอยู่ใจกลางกรอบหน้าปัดฝังเพชร นอกจากนั้นเครื่องประดับแต่ละชิ้น ยังต่างรองรับงานฝังไข่มุกทองเดินแถวเป็นแนวคู่ขนาน บนสันขอบบนและล่าง เพื่อทวีความคมชัดให้แก่เส้นทรวดทรงโค้งเว้าของจี้สร้อยคออัลลองบรา
ส่วนงานออกแบบลำดับสี่ ได้รับการสรรค์สร้างขึ้นในจำนวนจำกัดจากการประดับรัตนชาติชนิดหนึ่ง ซึ่งยากต่อการเสาะหาให้ได้ตรงตามมาตรฐานคุณภาพของ Van Cleef & Arpels นั่นก็คือหินไข่นกการเวกหรือเทอร์คอยซ์สีฟ้าสดดุจน้ำทะเลใสกระจ่าง เติมเต็มความงดงามทางโทนสีอันอบอุ่นของทองคำเหลืองอร่ามสกาวแสงได้อย่างกลมกลืน ในขณะที่งานฝังเพชรรอบขอบตัวเรือน ตลอดจนล้อมกรอบหน้าปัด ช่วยทวีประกายระยับแสงจรัสตา
ในฐานะบทเติมเต็มกลไกใช้งาน ห่วงวงแหวนยึดตัวเรือนจี้สำหรับใช้ร้อยสายสร้อย รองรับงานฝังเพชรท่ามกลางงานเดินขอบลูกปัดทองกลมกลึง ช่วยมอบความยืดหยุ่น คล่องตัวในการใช้ดูเวลา พร้อมให้ความสบายยามสวมใส่
ประกายเจิดจรัสสะท้อนความเลอค่าของ SWEET ALHAMBRA COLLECTION
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เครื่องประดับอัลลองบราได้เติมเต็มความครบครันของคอลเลคชันผ่านงานออกแบบโมทิฟต่างขนาดหนึ่งในนั้นก็คือ Sweet Alhambra ซึ่งเผยมิติความอ่อนช้อย ละมุนละไมได้อย่างอ่อนหวานสมชื่อ สำหรับนาฬิกาข้อมือสองสไตล์ใหม่ อาศัยงานฝังลูกปัดทองเดินขอบบนเหลี่ยมมุมของสันตัวเรือน เป็นแถวคู่ขนานขนาบงานฝังเพชรตลอดแนว ส่วนหน้าปัดของแต่ละตัวเรือน ได้รับการสรรค์สร้างขึ้นจากรัตนชาติเลอค่าหายาก รุ่นหนึ่งคือหินไข่นกการเวก และอีกรุ่นคือพลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูริ เพื่อทวีความหรูหรา พร้อมกับเป็นกลไกก่อแสงสะท้อนเร่งประกายสุกสว่างจรัสตา งานฝังเพชรล้อมกรอบหน้าปัด คือบทเติมเต็มความงามอันเกิดจากลูกเล่นขั้วต่างทางสีสันร ะหว่างรัตนชาติกับตัวเรือนทองคำเหลืองอร่ามสุกสกาว
ความหลากหลายของรัตนศิลาหายาก
ในฐานะบทสะท้อนถึงทักษะความชำนาญของเหล่านักอัญมณศาสตร์แห่ง Van Cleef & Arpels รัตนชาติที่ใช้ตกแต่งประดับประดา ต่างได้รับการคัดสรรให้ตรงตามมาตรฐานสุดเคร่งครัดของเมซง โมราสีเพลิงถูกเลือกจากความสม่ำเสมอของเนื้อสีเฉดอบอุ่น ในขณะที่หินไข่นกการเวกต้องมอบสีสดสว่างดุจผืนฟ้าวันไร้แดด และพลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูริ ย่อมให้สีน้ำเงินเข้มมิดไนท์บลูเจือประกายระยับทองของละอองแร่ไพไรต์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบความงามตามธรรมชาติอันโดดเด่นเป็นหนึ่งอยู่ในเนื้อหินล้ำค่าหายากชนิดนี้
ไหวพริบในการพลิกแพลงทักษะ ความชำนาญต่างแขนง VAN CLEEF & ARPELS
เพื่อให้ตรงตามมาตรฐานระดับสูงของเมซง โมทิฟหินรัตนชาติที่ใช้ในการตกแต่งทั้งหลาย ได้ผ่านการตัดเจียน เจียระไน และขัดผิวอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบความกลมกลืนทางรูปทรงยามประกอบชิ้นงาน เมื่อมาอยู่คู่เคียงกับแผ่นโมทิฟทองคำสลักลายรัศมีกวิโญเช รัตนชาติอย่างนี้ยังทวีความโดดเด่นล้ำเลอค่าอยู่ท่ามกลางงานฝังลูกปัดทองกลมกลึงสุดละเมียดละไม
ในส่วนของผลงานประดับเพชร เทคนิคการฝังเพชรเกล็ดหิมะถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มความงามสง่า อัญมณีต่างเส้นผ่านศูนย์กลางถูกฝังขึ้นตัวเรือนให้กลบคลุม บดบังเนื้อโลหะอย่างหมดจด และแนบเนียนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในขณะเดียวกัน เพชรแต่ละเม็ด และทุกเม็ดต่างทอประกายสว่างสุกใสถึงขีดสุด สืบเนื่องจากการใช้โครงสร้างตัวเรือนทองคำแบบเปิดโปร่ง อำนวยให้แสงสองผ่านเมื่อเปิดแผ่นโมทิฟเผยหน้าปัดนาฬิกา ก่อปรากฏการณ์เร่งความเข้มแสง เพิ่มระดับความสว่างเจิดจ้าสะกดสายตา เทคนิคการฝังอัญมณีตามธรรมเนียมดั้งเดิมนี้ คือหลักฐานบ่งชี้ถึงความพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด นอกจากนั้น ความละเอียดอ่อนของขั้นตอนขัดผิว ทั้งในแง่ของแต่ละชิ้นส่วนก่อนประกอบขึ้นตัวเรือน และหลังจากประกอบตัวเรือนเสร็จสมบูรณ์ ก็ช่วยทวีความงดงามในประกายสุกสว่างเรืองรอง
ALHAMBRA เครื่องประดับนำโชคตั้งแต่ปี 1968
“ถ้าอยากมีโชค คุณก็ต้องเชื่อในโชค” อย่างที่ฌาคส์ อารเปลส์ หลานชายของเอสแต็ลล์ อารเปลส์เคยกล่าวไว้ เครื่องราง และสัญลักษณ์นำโชค ถือเป็นคุณลักษณ์หนึ่งซึ่งเมซงรักยิ่ง เป็นทั้งเครื่องชี้นำ และแรงบันดาลใจในการออกแบบผลงานสร้างสรรค์อันทรงเอกลักษณ์อย่างที่สุดมาตลอด
ในปี 1968 Van Cleef & Arpels ได้ออกแบบ สร้างสรรค์สร้อยคอยาวอัลลองบร้าเส้นแรกขึ้นโดยอาศัยแรงบันดาลใจจากรูปทรงของใบโคลเวอร์สี่แฉก ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องรางนำโชคอย่างหนึ่ง มาพลิกแพลงเป็นแผ่นชิ้นส่วนรูปทรงเอกลักษณ์ อย่างที่เรียกว่า “แผ่นโมทิฟ” ทำจากทองคำสีเหลืองลายริ้วในตัว และเดินขอบรอบกรอบชิ้นงานด้วยลูกปัดทองกลมกลึงอย่างอ่อนช้อย พิถีพิถัน จากนั้น แผ่นโมทิฟ 20 ชิ้นก็ถูกนำมาเรียงร้อยต่อกันเป็นสายสร้อยเส้นยาวและประสบความสำเร็จในทันที พร้อมกับได้รับความนิยมไปทั่วโลกในฐานะแบบฉบับแห่งเครื่องประดับนำโชค สัญลักษณ์แห่ง Van Cleef & Arpels Alhambra