Van Cleef & Arpels สร้างสรรค์ผลงานเพื่อยกย่องการมาเยือนแห่งฤดูใบไม้ผลิ ในฐานะจุดเริ่มต้นวัฏฏะใหม่ในแต่ละปี ด้วยงานออกแบบงามสง่า อีกทั้งยังให้ความรู้สึกโปร่งเบาราวอากาศ เครื่องประดับคู่ผีเสื้อหรือ ‘Two Butterfly’ ต่างคลี่ปีกหลากสีสันในท่วงท่าคล้ายกระพือไหว หรือเตรียมพร้อมพุ่งตัวทะยานบินไปตามท่วงทำนองของบทเพลง แห่งการฟื้นตื่นจากหลับใหลอันยาวนาน
สุนทรียศิลป์แห่งการออกแบบ
ความงดงามของเครื่องประดับ จำลองแบบจากราชินีแห่งมวลแมลงอย่างสมจริง คล้ายกำลังขยับปีกบอบบางให้กระพือไหว จากเรียวนิ้วไปสู่ระหงคอ เพื่อล้อแสงทอประกายเรืองรองต้องวงหน้า เป็นผลจากงานออกแบบซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพลังชีวิตในธรรมชาติ
สัดส่วนอสมมาตรอันถือเป็นหนึ่งในสไตล์เอกลักษณ์ทางการออกแบบของ Van Cleef & Arpels ถูกนำมาใช้กับแหวนหว่างนิ้วหรือแหวนปลายเปิดกับต่างหู เพื่อให้ผีเสื้อทั้งสองก่อลีลา ราวกับกำลังขยับปีกโบยบิน แมลงปีกบางตัวน้อยแต่ละตัวบนปลายเปิดของเรือนแหวน ให้ความรู้สึกเสมือนกำลังบินวนล้อไล่กันและกัน ในขณะที่ต่างหูอาศัยลูกเล่นสีตัด เพื่อเร่งประกายล้อแสงเจิดจรัสจากพราวเพชรระยิบระยับ กับเนื้อสีสุกสว่างเป็นเงางามของหินไข่นกการเวกให้สาดส่องต้องวงหน้า
เศษเสี้ยวแห่งแผ่นฟ้า
ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเฉดสีฟ้าน้ำทะเลอมเขียวสดใส อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อสีไข่นกการเวก “เทอร์คอยซ์” ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในฐานะรงคศิลาเลอค่า และหายากอันควรค่าแต่เพียงเหล่าฟาโรห์ อีกทั้งยังเป็นที่ยกย่องของเผ่าแอซแท็ก ดังจะพบได้จากบรรดาเครื่องประดับโบราณ และศิลปวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทางลัทธิศาสนา รวมถึงยังมีหลักฐานบ่งชี้ว่า มีการบดหินเทอร์คอยซ์จนเป็นผงแป้งสีฟ้าสด สำหรับใช้เป็นเครื่องสำอางแต่งหน้า และในฤดูกาลนี้ Van Cleef & Arpels ได้ทำการออกแบบ สร้างสรรค์เครื่องประดับ เพื่อยกย่องความสำคัญของรงคศิลารัตนชาติ ซึ่งอยู่คู่กับประวัติศาสตร์อารยธรรมของมนุษยชาติมาแต่โบราณกาล
เมซงพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่ง ในการเลือกหินไข่นกการเวก สำหรับนำมาใช้ตกแต่งเครื่องประดับสำหรับคอลเลคชัน Two Butterfly โดยพิจารณาจากความกลมกลืน สม่ำเสมอของเนื้อสีเฉดฟ้าน้ำทะเลสดใสด้วยบรรจงจับคู่สีให้เข้ากันอย่างลงตัว แผ่นโมทิฟรูปทรงปีกผีเสื้อแต่ละตัวจึงประกอบไปด้วยหินไข่นกการเวก ที่ผ่านการเจียระไนและขัดผิวอย่างประณีตสี่ชิ้น ตัดกับประกายสุกปลั่งของเรือนทองคำเฉดเหลือง อีกทั้งยังทวีความเรืองรองสะดุดตา จากการใช้เพชรน้ำงามฝังลงต่างลำตัวผีเสื้อ ตรงศูนย์กลางการประกอบตัวเรือนโมทิฟปีกผีเสื้อทั้งสี่ส่วนนั้น
ในส่วนของเพชรซึ่งนำมาใช้ ก็อาศัยความใส่ใจในรายละเอียดอย่างเคร่งครัดสูงสุด เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพตามมาตรฐานของเมซง ไม่ว่าจะเป็นเพชรสำหรับเครื่องประดับอัญมณี เครื่องประดับชั้นสูง และคอลเลคชันนาฬิกาข้อมือทั้งหลายของ Van Cleef & Arpels นั่นก็คือ D ถึง F ในแง่ของสี และความกระจ่างใสไร้ตำหนิคือระดับ IF ถึง VVS2 เพื่อให้ไฟในน้ำเพชรก่อประกายระยิบระยับล้อแสงเจิดจ้าอย่างที่สุด
ความละเอียดลออ พิถีพิถัน แห่งช่างศิลป์
เครื่องประดับคู่ผีเสื้อยังเป็นบทสะท้อนถึงความประณีตพิถีพิถันและทักษะความชำนาญเหนือชั้นของเมซง นับจากขั้นตอนของการคัดเลือกรัตนชาติไปจนถึงการขัดผิวเป็นลำดับสุดท้าย
ในส่วนของงานฝังเพชร การใช้ตัวเรือนแบบเปิดโปร่งอันเกิดจากการดัดโลหะล้ำค่าอย่างวิจิตรบรรจง อำนวยให้แสงสามารถส่องผ่านเพชรน้ำงามแต่ละเม็ด การหักเหวิถีแสงตกกระทบในน้ำเพชรส่งผลให้แสงที่สะท้อนกลับออกมาสู่สายตาเต็มไปด้วยความเข้ม หรือประกายสว่างอย่างที่สุด ขณะเดียวกัน ก็มีการใช้เทคนิคฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือนถึงสามแบบ ตามลักษณะเฉพาะของแต่ละชิ้นงาน นั่นก็คือการฝังเพชรลูกปัดเรียงแถวจิกไข่ปลาบนตัวเรือนโมทิฟปีกผีเสื้อ ร่วมกับงานฝังเพชรเจียระไนทรงเหลี่ยมมาร์คีส์ ลงหนามเตยบนส่วนลำตัวของผีเสื้อ ท้ายสุด สำหรับเพชรลูกทรงกลมบนสายสร้อยร้อยจี้ผีเสื้อ อาศัยงานฝังหุ้มเพื่อขับประกายสุกสว่างสะดุดตาของเพชรเดี่ยว
ผีเสื้อได้จุดประกายจินตนาการในการสรรค์สร้างผลงานต่างๆ ของ Van Cleef & Arpels มานับแต่ก่อตั้ง ในฐานะสัญลักษณ์ของผู้นำสารแสดงความเอื้ออาทร จากธรรมชาติไปสู่มวลพฤกษาแต่ละดอก และทุกดอกอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเชิงสัณฐานรูปทรง หรือสไตล์การออกแบบและตกแต่ง เครื่องประดับผีเสื้อปรากฏโฉมอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี จากการใช้วัสดุไม้ งานเคลือบเงา งานลงยา แผ่นแม่มุก รงคศิลา และรัตนชาติเลอค่า ตลอดจนยังกระพือปีกโบยบินอย่างสง่างามไปบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมืออีกหลายรุ่น
เมซงได้ออกแบบ สร้างสรรค์ผลงานหลากสรรพสีบนโมทิฟตัวเรือนปีกผีเสื้ออันละเอียดอ่อนและบอบบางขึ้นเป็นเครื่องประดับคอลเลคชัน “คู่ผีเสื้อ” หรือคอลเลกชัน Two Butterfly มานับตั้งแต่ปี 2001