บางครั้งความเคยชินก็ทำให้เราทำอะไรผิดๆ กันซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รู้ตัวได้! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ข้อผิดพลาด’ ในเรื่องของกิจวัตรการดูแลความงาม ฉะนั้นก็ลองอ่านรายละเอียดต่อไปนี้ แล้วดูซิว่า…คุณทำอะไรผิดพลาดกันบ้างหรือเปล่า?!!
#1 ชะโลมคอนดิชันเนอร์ทั่วทั้งศีรษะ
ผู้คนส่วนใหญ่มักชะโลมคอนดิชันเนอร์เหมือนกำลังชะโลมแชมพูสระผม โดยโปะลงไปกลางกระหม่อม แล้วนวดไล่ออกไปให้ทั่วเส้นผม ซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด!!! เพราะจริงๆ แล้ว บริเวณปลายผมต่างหากที่มักจะเกิดความเสียหายมากกว่า และต้องการคอนดิชันเนอร์ไปช่วยเยียวยา ส่วนเส้นผมในบริเวณใกล้ๆ โคนผมนั้น เป็นส่วนที่เพิ่งงอกขึ้นมาใหม่ จึงมักดูมีสุขภาพดีอยู่แล้ว ฉะนั้นการชะโลมคอนดิชันเนอร์กับเส้นผมในส่วนนี้ นอกจากจะทำให้เปลืองแล้ว ยังอาจทำให้เส้นผมลีบแบนลงมา พร้อมกับดูเป็นมันเยิ้มได้
วิธีแก้: ชะโลมคอนดิชันเนอร์ตั้งแต่ระดับใบหูลงมาจนถึงปลายผม วิธีนี้จะช่วยให้เส้นผมดูมีวอลลุ่มขึ้น และไม่จำเป็นต้องสระผมบ่อยๆ ด้วย
#2 ทาครีมรองพื้นโดยที่มอยส์เจอไรเซอร์ยังไม่แห้ง
ถ้าเราไม่ยอมปล่อยให้มอยส์เจอไรเซอร์ซึมซาบเข้าไปในผิวจนแห้งก่อน ความเข้มข้นของเนื้อครีมนั้นอาจทำให้ครีมรองพื้นเจือจางลงได้ จึงอาจส่งผลให้เกิดรอยด่างเป็นหย่อมๆ และไม่สามารถทำหน้าที่ปกปิดข้อบกพร่องต่างๆ อย่างที่ควรจะเป็นได้
วิธีแก้: ทามอยส์เจอไรเซอร์แล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา 60 วินาที จากนั้นจึงค่อยลงครีมรองพื้นตามปกติ แต่ถ้ามีเวลาน้อยจริงๆ ก็ใช้กระดาษทิชชูซับหน้าเบาๆ ก่อนทาครีมรองพื้นก็ได้
#3 ฉีดน้ำหอมหลังแต่งตัวเสร็จแล้ว
การฉีดน้ำหอมลงบนเส้นผ้า นอกจากจะทำให้เกิดกลิ่นแปลกๆ แล้ว ยังอาจทำให้เส้นผ้าเกิดคราบหรือรอยด่างได้ เพราะจริงๆ แล้ว น้ำหอมนั้นถูกรังสรรค์ขึ้น เพื่อให้ทำปฎิกิริยากับความร้อนบนร่างกายมากกว่า
วิธีแก้: ฉีดหรือแตะแต้มน้ำหอมในขณะเปลือยเปล่า ลงบนผิวบริเวณ ‘จุดชีพจร‘ หนึ่งหรือสองจุด อย่างเช่น บริเวณข้อพับหัวเข่า ข้อมือ ฐานคอ และบริเวณหลังใบหู เสร็จแล้วค่อยใส่เสื้อผ้า
# 4 ถอนขนคิ้วในขณะที่อยู่ใกล้กระจกเกินไป
การอยู่ใกล้กระจกเกินไปในขณะถอนคิ้วนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะจะทำให้เรามัวมองแต่เพ่งดูขนคิ้วแต่ละเส้น จนมองข้ามรูปทรงของคิ้วไป ส่งผลให้คิ้วดูไม่สม่ำเสมอ หรือถอนขนคิ้วออกมากเกินไปได้
วิธีแก้: ใช้กระจกบานใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้หน้าต่าง (เพื่อให้แสงธรรมชาติสาดส่องได้เต็มที่) จากนั้นถอยออกมาสองสามก้าว เพื่อทำการสำรวจใบหน้า และกะขนาดรูปคิ้วของเรา รูปคิ้วควรจะมีสัดส่วนที่ดูรับกับรูปหน้าของเรา จากนั้นจึงค่อยเลื่อนเข้าไปใกล้ๆ กระจก แล้วเริ่มต้นถอนขนคิ้ว หลังจากถอนไปทุกๆ สองสามเส้น ก็ถอยหลังออกมาสำรวจความสมมาตรของคิ้วทั้งสองข้างทีนึง

#5 ละเลยการดูแลผิวบริเวณคอ
ผิวบริเวณคอมักจะมีบางและไวต่อความรู้สึกมากกว่าผิวหน้า และมักจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านสีผิว ความยืดหยุ่น เท็กซ์เจอร์ และริ้วรอยได้ง่ายกว่า
วิธีแก้: เวลาที่ทาครีมกันแดดบนใบหน้า ก็ควรทาให้เลยมาถึงคอและหน้าอกด้วย (รวมทั้งผิวบริเวณหนังมือที่มีความบอบบางด้วย) เราไม่จำเป็นต้องใช้ครีมสำหรับทาคอโดยเฉพาะตามคำโฆษณาหรอกนะ แค่เดย์ครีม ไนท์ครีม หรือทรีทเม้นต์ต่างๆ ก็ใช้กับผิวคอได้ดีเหมือนกัน แต่ถ้าใครใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่า ไฮดร็อกซี่ (เอเอชเอ) หรือเรตินอยด์ ก็ควรทดสอบให้แน่ใจก่อนว่าจะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้
#6 ใช้อายครีมเพื่อช่วยลดอาการตาบวม
อาหารที่มีรสเค็มรวมทั้งปัจจัยต่างๆ คือสาเหตุที่ทำให้เกิดการกักเก็บน้ำเอาไว้ในผิวรอบดวงตา แต่การทาอายครีมไม่ได้ช่วยอะไรตรงจุดนี้ เพราะมอยส์เจอไรเซอร์ส่วนใหญ่ มักมีส่วนผสมที่ทำหน้าที่อุ้มน้ำเอาไว้ในผิว ฉะนั้นการทาอายครีมจึงอาจทำให้เกิดอาการตาบวมหนักขึ้นได้
วิธีแก้: ถ้าผิวรอบดวงตาเกิดอาการบวม (แต่ไม่ได้แดง ระคายเคือง หรือคัน) ก็ใช้น้ำแข็งหรืออะไรเย็นๆ ประคบเอาไว้เป็นเวลา 10 ถึง 15 นาที แล้วอาจตามด้วยเจลทาตาเนื้อเบาบาง ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนด้วยก็ได้
#7 อาบน้ำจนผิวและเส้นผม ‘สะอาดเว่อ‘
สะอาดสะอ้าน…ก็ฟังดูดีอยู่หรอก แต่ ‘สะอาดเว่อ‘ นั้นบ่งบอกว่า คนๆ นั้นใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเกินไป หรือไม่ก็อาบน้ำหรือถูตัวอย่างเอาเป็นเอาตายเกินควร ซึ่งนั่นจะทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติ ที่ช่วยตรึงความชุ่มชื้นรวมทั้งปกป้องผิวและเส้นผม
วิธีแก้: ขั้นแรกก็พิจารณาดูว่าเราทำ ข้อผิดพลาด หรือใช้ผลิตภัณฑ์อะไรที่มีฤทธิ์แรงเกินไปหรือเปล่า อย่างเช่น ใยบวบขัดตัว หรือแชมพูยา นอกจากนี้ก็ควรจำกัดเวลาในการอาบน้ำอย่าให้นานเกิน 10 นาที และไม่ควรใช้น้ำร้อนในการอาบน้ำหรือสระผม
#8 แต้มยารักษาสิวมากเกินไป
อาการตื่นกลัวมักตามมาด้วยปัญหาสิว และยิ่งรู้สึกตื่นกลัวก็ยิ่งทำให้เรา ‘หนักมือ‘ มากขึ้น อย่างเช่น การแต้มด้วยยารักษาสิวที่มีฤทธิ์แรงซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งยารักษาสิวส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมของกรด ที่จะซึมซาบเข้าไปผิวนานนับชั่วโมงหลังทา ฉะนั้นการทามากเกินไปก็จะทำให้ผิวไหม้ แดง ลอก และเกิดอาการระคายเคือง
วิธีแก้: หลีกเลี่ยงที่จะทำให้ผิวแห้งหรือเกิดอาการระคายเคือง ด้วยการปฎิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาแต้มสิวอย่างเคร่งครัด ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักแนะนำให้แต้มวันละหนึ่งหรือสองครั้ง และควรใช้ให้น้อยลงถ้ามีอาการระคายเคืองเกิดขึ้น
เครดิตภาพ: Freepix, Unsplash Photo