จากจุดเริ่มต้นของแนวคิด วิสัยทัศน์ และความฝัน ก่อนหล่อหลอมออกมาเป็น Altiplano Ultimate Concept (AUC) ที่แสนขบถ แทบไม่มีใครเชื่อเลยว่าแบรนด์จะทำได้สำเร็จ แต่หากเป็นเพราะปรัชญาของเมซงนั่นเองที่ผลักดันให้ท้าทายขีดจำกัดได้อย่างสุดขั้ว ดังเช่นที่ Valentin Piaget ชอบพูดเสมอว่า “to do what has never been done before”
The AUC Story
AUC ถูกพูดถึงอย่างมากในกลุ่ม watch community และสื่อมวลชนทั่วโลก หลังถูกนำเสนอครั้งแรกในงาน Watches & Wonders ปี 2018 ณ นครเจนีวา จากนั้นอีก 2 ปี แบรนด์สามารถส่งมอบนาฬิการะบบกลไกที่บางที่สุดในโลกสู่ผู้ใช้งานตัวจริงได้สำเร็จในเดือนเมษายน 2020 พร้อมคว้ารางวัล Aiguille d’Or อันทรงเกียรติ หรือ รางวัลนาฬิกายอดเยี่ยมประจำปี 2020 จาก Grand Prix d’Horlogerie de Genève ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมา AUC ก็เป็นที่จับจ้องของบรรดานักสะสมทั่วโลก ที่ชื่นชอบความท้าทายในระดับ Micro engineering ทั้งยังคงเป็นหนึ่งในเรือนเวลาที่บางที่สุดในโลกในปัจจุบัน
A Feat of Technology
เป็นที่รู้กันว่านาฬิกาส่วนใหญ่ประกอบด้วย 4 เลเยอร์หลัก ๆ คือ 1) ขอบตัวเรือนและคริสตัล 2) หน้าปัดและเข็มนาฬิกา 3) กลไก และ 4) ฝาหลัง
แต่สำหรับเพียเจต์ แนวคิดอันแสนขบถของแบรนด์คือการรังสรรค์เรือนเวลาในแบบไม่ตามใคร โดยการถอดโครงสร้างทั้ง 4 ชั้นออก และหลอมรวมให้เป็นชิ้นเดียว โดยด้านหนึ่งเป็นองค์ประกอบพวกบริดจ์ หน้าปัด และเข็มนาฬิกา ขณะที่ด้านตรงข้ามเป็นชิ้นส่วนฝาหลัง กลไก เมนเพลท และขอบตัวเรือน ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวการันตีด้วยสิทธิบัตรถึง 5 ฉบับด้วยกัน ทำให้เมซงสามารถผลิตนาฬิกาที่มีความหนาของตัวเรือนเพียง 2 มิลลิเมตร โดยวัดจากด้านล่างของฝาหลังไปจนถึงส่วนบนสุดที่เป็นกระจกหน้าปัด
An Horological Adventure
สำหรับเรือนเวลารุ่นล่าสุดนี้ ถือเป็นการเฉลิมฉลองการเดินทางที่แสนท้าทายของ AUC โดยเมซงสอดแทรกดีเทลที่ชวนให้นึกถึงการเดินทางอันน่าทึ่งไว้ในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น
ด้านบนสุดของหน้าปัด ประดับโลโก้ “Piaget” แต่ดีไซน์กลับดูแปลกตากว่าทุกครั้ง เพราะแบรนด์เจาะจงใช้ historic font ตัวเดียวกับที่ใช้ทำป้ายโลโก้ ที่โรงงานผลิตนาฬิกาในหมู่บ้าน La Côte-aux-Fées นั่นเอง (สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นและยังคงเป็นฐานผลิตให้กับเมซงจนถึงปัจจุบัน)
บนวงแหวนของอินเด็กซ์บอกเวลา คุณจะพบกับวงกลม 2 วงท่ามกลางจุดต่างๆ มากมาย ซึ่งตรงกับเวลาประวัติศาสตร์ 7:47 ที่ AUC เรือนแรกถือกำเนิดขึ้นนั่นเอง
นอกจากเลขนาทีประวัติศาสตร์แล้ว ที่ตำแหน่ง 2:30 แบรนด์ยังสลักวันเกิดของ AUC ไว้อีกด้วย ซึ่งตรงกับ 7th February 2017 บน ratchet wheel สลักคำว่า “La Côte-aux-Fées” พร้อมระบุพิกัด GPS ของโรงงานไว้อีกด้วย พลาดไม่ได้กับความสง่างามของพื้นหน้าปัดเคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova ที่จำลองทะเลดาวขณะส่องแสงระยิบระยับเกลื่อนฟากฟ้าเหนือ La Côte-aux-Fées ณ วันและเวลาที่ AUC ถือกำเนิดมาถ่ายทอด
Piaget Altiplano Ultimate Concept (G0A47505) มาในตัวเรือนขนาด 41 มิลลิเมตร ทำจากโคบอลต์ผสมอัลลอยด์ ซึ่งเข้ากันได้อย่างลงตัวกับเพลทเคลือบ PVD สี dark slate blue ขัดแต่งแบบพ่นทราย ขณะที่ฝาหลัง ขอบตัวเรือน และขานาฬิกาขัดเงาซาติน ตัดกับ case band แบบขัดด้าน จับคู่กับสายหนังจระเข้สีน้ำเงินเข้มที่มีความบางไม่ถึง 1.5 มิลลิเมตร ซึ่งปรับขนาดลงเพื่อสร้างสถิติความบางแบบสุดขั้วให้สำเร็จ สำรองพลังได้ยาวนาน 40 ชั่วโมง
เรือนเวลาที่ไม่มีใครเหมือน กับดีไซน์ที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวของ La Côte-aux-Fées ทั้งยังสดุดีให้กับความเป็นเลิศของเรือนเวลา AUC รุ่นบุกเบิก เป็นอีกบทพิสูจน์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่ เพียเจต์ปลูกฝังมาเป็นเวลานาน ว่าสามารถก้าวข้ามขีดจำกัด และหลอมรวมดีไซน์และเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และนี่คืออีกบทพิสูจน์ของแบรนด์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างสรรค์เรือนเวลาในมิติที่แตกต่างออกไป โดยที่ไม่ละทิ้งเทคนิคระดับสูงแม้แต่น้อย กับ 2 คีย์พีซเด่นจากซีรีส์ Limelight Gala อย่าง Limelight Gala High Jewellery และ Limelight Gala Precious ที่พร้อมเจิดจรัสไปกับเหล่าสุภาพสตรี
สัมผัสเรือนเวลาและเครื่องประดับชั้นสูงจากเพียเจต์ (Piaget) ได้แล้ววันนี้ ณ เพียเจต์ บูติค โดย เอส ที ไดเมนชั่น ชั้น M สยามพารากอน โทร . 02-610-9678