คอลเลคชัน ‘Fleurette’ ประจำฤดูกาลนี้ งานออกแบบโมทิฟดอกไม้เพชรน้ำอันงามสง่าเหนือกระแสความนิยมของยุคสมัย ต่างได้รับการรังสรรค์ขึ้นอีกครั้ง โดยอาศัยงานปรับขนาดโมทิฟตัวเรือนทองคำขาววาววับฝังเพชรสุกใสสกาวแสง เพื่อร่วมกันเติมประกายสว่าง ขับความผุดผาดให้วงหน้า ระหงคอ หรือกระทั่งบนปลายมือ

บุปผาเพชรผลิบานบนผิวพรรณ
โมทิฟตัวเรือนลายดอกเบญจมาศหนู หรือ ‘Fleurette’ ประกอบขึ้นจากการใช้เพชรลูกทรงกลมเจ็ดเม็ด ร้อยเรียงร่วมกันเป็นวงดอก (หกเม็ดล้อมต่างกลีบ หนึ่งเม็ดใจกลางต่างเกสร) รัตนชาติเลอค่าแต่ละเม็ด ล้วนผ่านการคัดเลือกให้ตรงตามมาตรฐานคุณภาพสูงสุดอย่างเคร่งครัด และทวีประกายสว่างสุกใสจรัสตา โดยอาศัยตัวเรือนเปิดโปร่งร่วมกับเทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความพิถีพิถันในการฝังขึ้นตัวเรือน และความละเอียดละออของงานขัดผิว เพื่อให้มิติทรงอันเรียบง่าย ทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความงามสง่าจรัสประกายระยิบระยับเลอค่ายามมาประดับบนผิวพรรณ
ในคอลเลคชันล่าสุด ยังมีโมทิฟขนาดใหม่ เจ้าของเส้นผ่านศูนย์กลาง 8.8 มม. รองรับงานฝังเพชรน้ำหนักรวมสุทธิ 0.73 กะรัต ซึ่งเมื่ออิงแอบแนบชิดกันและกัน รัตนชาติทั้งเจ็ดต่างต้องแสงทอรัศมีสุกสกาว ราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว นอกจากนั้น แหวนเฟลอแร็ตต์รุ่นใหม่ยังโดดเด่นด้วยงานออกแบบเรือนวงแหวนทรง ‘เนคไท‘ โดยเรียกชื่อรูปทรงตามลักษณะสอบเรียว ปลายบาน ตัดมุมเหมือนเส้นเนคไท ที่โค้งมาบรรจบกันตรงตำแหน่งฐานหัวแหวน รองรับงานฝังเพชรกลมไล่ลำดับขนาดลดหลั่นจากเล็กไปหาใหญ่ ด้วยลูกเล่นเชิงโครงสร้างตัวเรือนลักษณะนี้ จึงทำให้วงดอกเพชรหัวแหวน คล้ายจะลอยตัวสูงขึ้นมาอย่างงามสง่าอยู่กลางอากาศ
ความชำนาญด้านเครื่องประดับชั้นสูง
เกณฑ์การสังเกตเพื่อคัดสรรเพชรเม็ดงาม อาศัยความเคร่งครัด ระมัดระวังตรวจสอบนั้น จะพิจารณาถึงความบริสุทธิ์ สะอาดหมดจดของเนื้อเพชร เพื่อให้ได้คุณภาพระดับ D หรือเพชรน้ำร้อย หรือลดหลั่นรองลงมาก็คือ E และ F ในแง่ของสี และ IF ไปจนถึง VVS2 ในแง่ของเนื้อเพชรภายใน หรือที่นิยมเรียกกันว่าน้ำเพชร จากนั้นจึงทำการเทียบเคียงจับคู่ จัดกลุ่มชุดให้มีระดับการกระเจิงแสง ระหว่างหน้าตัดกับเหลี่ยมมุมจากภายใน ก่อประกายรุ้งสุกสว่างเต็มพิกัดสู่ภายนอก อย่างกลมกลืนเสมอกัน
เหล่าช่างฝีมือหัตถศิลป์ของ Van Cleef & Arpels ต่างใช้ไหวพริบ ในการพลิกแพลงทักษะความชำนาญเฉพาะด้าน เพื่อร่วมกันเร่งระดับความเข้มแสง เพิ่มประกายสว่างวามวาว ให้แก่บรรดาเครื่องประดับดอกเบญจมาศหนูในคอลเลคชั่นนี้ ตัวเรือนรองรับงานฝังเพชรของโมทิฟแต่ละชิ้น ถูกออกแบบขึ้นโดยอาศัยเทคนิคแขนงต่างๆ แบบเดียวกับที่ใช้ในการสร้างสรรค์เครื่องประดับชั้นสูง ร่วมกับความพิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียด โครงสร้างวงหนามเตยของตัวเรือนเปิดโปร่ง น้ำหนักเบาอันอ่อนช้อย อำนวยให้แสงส่องผ่านอัญมณีทุกเม็ด จึงเท่ากับช่วยเร่งความเข้มแสง เพิ่มประกายสว่างจากภายใน ขณะเดียวกับที่ลูกปัดกลมกลึงขนาดเล็กละเอียดเต็มพิกัด กับเขี้ยวหนามเตยทำมุมรูปทรงตัว V ช่วยกันยึดเพชรแต่ละเม็ดให้เข้าที่อย่างมั่นคง

โมทิฟอันเป็นแบบฉบับทางการออกแบบมายาวนาน
โมทิฟตัวเรือนลายดอกเบญจมาศหนูของเครื่องประดับเฟลอแร็ตต์ เป็นผลงานซึ่ง Van Cleef & Arpels สร้างสรรค์ขึ้นระหว่างทศวรรษ 1920 และดำรงอยู่สืบทอดต่อมายุคต่อยุคจนถึงปัจจุบัน ผ่านการรังสรรค์ ดัดแปลงไปตามรสนิยมของแต่ละสมัย ด้วยการใช้เพชร ทับทิม หรือไพลินในคราวแรกเริ่ม เพื่อให้ดอกเบญจมาศหนูเหล่านี้ ผลิบานอยู่บนเครื่องประดับสไตล์อลังการศิลป์ หรืออาร์ต เดโค (Art Deco) ก่อนจะหันไปสู่ลูกเล่นทางผิวสัมผัสของทองคำแท้แทนรัตนชาติ ระหว่างยุคสงครามในทศวรรษ 1940 และถูกพลิกแพลงจำแลงเป็นลายดอกไม้ฝังอัญมณีเจียระไนทรงหลังเบี้ย อยู่บนสร้อยคอสายแถบ เมื่อถึงทศวรรษ 1970 ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าโมทิฟลายดอกไม้ อันอยู่เหนือกระแสความนิยมของยุคสมัย เปิดโอกาสต่อการรังสรรค์ดัดแปลงได้อย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความต้องการของ Van Cleef & Arpels ที่จะยกย่องความสำคัญให้กับความงดงาม ในมวลธรรมชาติผ่านงานออกแบบเครื่องประดับ
ส่วนผลงานซึ่งปรากฏในระหว่างทศวรรษ 1980 นั้น หาได้ต่างอะไรจากประจักษ์พยาน ยืนยันถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้น ที่เมซงมีต่อโลกของแฟชั่นการแต่งกาย โมทิฟลายดอกเบญจมาศหนู ได้รับการรังสรรค์จนคล้ายจำแลงตัวเป็นผ้าลูกไม้ลายละเอียดบางเบา สำหรับใช้กับเครื่องประดับต่างๆ ในคอลเลคชัน Valenciennes, Venice และ Bruges ซึ่งแต่ละชุดได้รับการตั้งชื่อตามเมืองรองแหล่งสำคัญของยุโรป (ชุมชนวาล็องเซียนส์ในฝรั่งเศส, เมืองเวนิซในอิตาลี และบรูชในเบลเยียม)
ตาข่ายลูกไม้ลายดอกเหล่านี้ ถูกนำมาใช้ประดับบนระหงคอ ราวแถบแพรพรรณโอบกระหวัด ตลอดจนตกแต่งเสมือนเป็นแถบริบบิ้นมัดปมโบว์ หรือกระทั่งเป็นฐานต่างหูรองรับการติดตั้งจี้ระย้าทรงเหรียญตรา ส่วนในปี 1997 ยังมีการนำไปใช้กลัดตรึงบนโครงสร้างวงสร้อยคอ อันเต็มไปด้วยลูกเล่นเหลี่ยมมุมสลับเส้นโค้งเว้า ราวขดระลอกคลื่นของผลงานชุด Veronese ส่วนในกลุ่มผลงานเครื่องประดับลูกไม้ลายดอกที่เรียกว่า Flowerlace กับเครื่องประดับคอลเลคชันSnowflake ของเมซงนั้น โมทิฟเหล่านี้คือบทหลอมรวมแรงบันดาลใจต่างขั้ว ซึ่งต่างล้วนเป็นที่รักยิ่งของเมซง นั่นก็คือธรรมชาติกับแฟชั่น
ด้วยการสร้างสรรค์จำลองแบบขึ้นใหม่ขึ้นครั้งแล้ว ครั้งเล่าเพื่อนำวงกลีบดอกระยับแสงประกายรุ้งสุกสว่างเหล่านี้ มาเติมความหรูหราสง่างามให้แก่ผลงานต่างๆ ตั้งแต่สร้อยคอข้อมือ เข็มกลัด สร้อยคอ ต่างหู ไปจนถึงตลับหรือกลักเครื่องสำอาง อย่างต่อเนื่องมานานนับหลายปี ก่อนโมทิฟลายดอกเบญจมาศหนูจะมาผลิบานเป็นคอลเลคชั่น ‘Fleurette’ ของตนเองเมื่อปี 2000 ในท้ายสุด